วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เสกสื่อเสกฝันเพื่อวันพรุ่ง เปิดหน้าต่างละครสร้างสรรค์เพื่อเด็ก


ประกาศรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ!!!

โครงการ“เสกสื่อเสกฝันเพื่อวันพรุ่ง :
เปิดหน้าต่างละครสร้างสรรค์เพื่อเด็ก”


มาร่วมกันสร้างฝัน สร้างสรรค์ละครดีดีเพื่อเด็กไทย

เพียงชวนเพื่อนนักศึกษากลุ่มละ 5 คน ที่มีใจรักและสามารถด้านการละคร
สมัครเข้าอบรมวันที่ 8-9 มกราคม 2554 เพื่อสร้างผลงานกลุ่มละหนึ่งเรื่อง
ลุ้นรางวัลผลงานคุณภาพ ‘เสกสื่อเสกฝันอะวอร์ด’

สนใจขอรับใบสมัครได้ที่โครงการเสกสื่อเสกฝันเพื่อวันพรุ่ง
สาขาวิชาสื่อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
โทรศัพท์ : 083-556-4633 (อ.ลักษณ์นัยน์)

e-mail : dreamcom-cometrue@hotmail.com

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.dreamcom-cometrue.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การอ่านหนังสือของคนไทย

การอ่านหนังสือของคนไทย

“หนังสือ” มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางความคิดและเสริมสร้างทักษะในการเรียนรู้ การอ่านหนังสือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง หากคนในสังคมมีพฤติกรรมการอ่านก็จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่เชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาประเทศ

หลายองค์กรได้ช่วยกันรณรงค์เพื่อผลักดันให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือ แต่จากข้อมูลสถิติเรื่องการอ่านหนังสือของคนไทยที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งล่าสุด (2551) พบว่า อัตราการอ่านหนังสือของคนไทยลดลง

ผลการสำรวจเรื่องการอ่านหนังสือของคนไทยโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติแต่ละครั้ง มักก่อกระแสวิพากษ์ในสังคม จากการรวบรวมข้อมูลเอกสารจากแหล่งต่างๆ พบว่า มีผู้กล่าวว่าคนไทยอ่านหนังสือ 7 บรรทัดต่อวันบ้าง 7 บรรทัดต่อปีบ้าง และบางแห่งระบุ 5 เล่มต่อปี (หรือ 2 เล่มต่อปี) ซึ่งส่วนหนึ่งจะอ้างอิงข้อมูลว่ามาจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

สำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจเรื่องการอ่านหนังสือของคนไทยที่เป็นการสำรวจเรื่องนี้โดยตรงมาแล้ว 3 ครั้ง คือในปี 2546, 2548 และ 2551 อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นได้มีบทความรายงานเรื่อง “การอ่านหนังสือของคนไทย” ตีพิมพ์ใน “สารสถิติ” ฉบับเดือนมิถุนายน 2546 ระบุว่าคนไทยใช้เวลาในการอ่านหนังสือประมาณ 3 นาทีต่อวัน และเด็กวัย 10-14 ปี อ่านน้อยที่สุด คือ 1.28 นาทีต่อวัน

บทความดังกล่าวเป็นการนำข้อมูลมาจากปี 2544 ที่สำรวจเรื่อง “การใช้เวลาของประชากร” (สำรวจเฉพาะผู้ที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป) ซึ่งมีประเด็นหนึ่งที่สอบถามถึงการใช้เวลาในการอ่านหนังสือ การสำรวจนี้พบว่ามีผู้ที่อ่านหนังสือร้อยละ 4.4 ของประชากร และในจำนวนผู้ที่อ่านหนังสือนี้ อ่านหนังสือเฉลี่ย 67.49 นาทีต่อวัน แต่สำนักงานสถิติแห่งชาติได้นำเอาเวลาเฉลี่ยในการอ่านหนังสือของผู้ที่อ่านไปหาค่าเฉลี่ยจากฐานประชากรทั้งหมด (นำจำนวนผู้ที่ไม่อ่านมาหาค่าเฉลี่ยด้วย) จึงสรุปว่าคนไทยใช้เวลาในการอ่านหนังสือ 2.99 นาทีต่อวัน

การสำรวจเรื่องการอ่านหนังสือของคนไทยในปี 2546 สำนักงานสถิติแห่งชาติไม่ได้ระบุเรื่องเวลาในการอ่าน และเป็นการสำรวจประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไป ส่วนการสำรวจอีก 2 ครั้ง คือในปี 2548 และ 2551 ระบุเรื่องเวลาในการอ่านโดยคิดค่าเฉลี่ยเฉพาะกลุ่มผู้ที่อ่านหนังสือ ผลสำรวจในปี 2551 ระบุว่า ผู้ที่อ่านหนังสือ (ที่อายุ 6 ปี ขึ้นไป) ใช้เวลาในการอ่านหนังสือเฉลี่ย 39 นาทีต่อวัน

ส่วนผลสำรวจในปี 2548 เป็นการคิดเวลาเฉลี่ยจากฐานของกลุ่มผู้ที่อ่านหนังสือเช่นกัน แต่มีข้อมูลตัวเลขเวลาเฉลี่ยในการอ่านหนังสือของคนไทยที่ต่างกันอยู่ 2 ชุด ชุดแรกจากรายงานผลเบื้องต้นและเป็นข้อมูลที่สำนักงานสถิติแห่งชาติใช้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน (สิงหาคม 2548) ระบุว่าคนไทยใช้เวลาในการอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยแต่ละวันประมาณ 1 ชั่วโมง 59 นาที ส่วนอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ออกตามมาภายหลัง ระบุว่า คนไทยใช้เวลาในการอ่านหนังสือโดยเฉลี่ยแต่ละวันประมาณ 51 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่ต่างกันมากกว่า 1 ชั่วโมง

ไม่ปรากฏว่ามีข้อมูลชี้แจงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ผู้ที่นำข้อมูลไปใช้จะอ้างอิงที่ตัวเลข 1 ชั่วโมง 59 นาที ทั้งสิ้น การเสนอชื่อกรุงเทพมหานครเป็น “เมืองหนังสือโลก” (World Book Capital City) ที่เสนอต่อองค์การยูเนสโกก็อ้างอิงข้อมูลจากตัวเลขดังกล่าว (1 ชั่วโมง 59 นาที)

จากการศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่ออกโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการอ่านหนังสือของคนไทย ไม่พบว่ามีการระบุว่าคนไทยอ่านหนังสือกี่เล่มหรือกี่บรรทัด ระบุเพียงเรื่องเวลาในการอ่านเท่านั้น จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติก็ได้รับการยืนยันว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติไม่ได้สำรวจว่าคนไทยอ่านหนังสือกันกี่เล่มหรือกี่บรรทัด

การระบุว่าคนไทยอ่านหนังสือกันกี่บรรทัดต่อวันหรือกี่เล่มต่อปี อาจเป็นผลมาจากการตีความเองของผู้นำข้อมูลไปใช้หรือนำไปเผยแพร่ต่อ หรืออาจมาจากการสำรวจของหน่วยงานอื่นที่มิใช่สำนักงานสถิติแห่งชาติ จากการรวบรวมข้อมูลพบว่าหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการมีการสำรวจพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนซึ่งระบุหน่วยชี้วัดเป็นจำนวนหน้าและจำนวนเล่ม ประกอบกับการที่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการระบุว่า “จะรณรงค์ให้คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 12 บรรทัดให้ได้ภายในปี 2550” (งานมหกรรมนักอ่าน 13-17 มิถุนายน 2550) จึงเชื่อว่ากระทรวงศึกษาธิการเองน่าจะมีข้อมูลการสำรวจเรื่องการอ่านอีกชุดหนึ่ง และผู้ที่นำข้อมูลไปใช้อาจกล่าวถึงข้อมูลจากทั้งสองแหล่งในเวลาเดียวกัน จึงรวบความว่าเป็นผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

การระบุว่าคนไทยอ่านหนังสือกี่เล่มต่อปี มีการระบุอยู่ 2 ตัวเลข คือ 5 เล่มต่อปี และ 2 เล่มต่อปี การระบุที่จำนวน 5 เล่มต่อปี น่าจะมาจากเหตุผลที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ซึ่งยืนยันได้ว่ามิใช่เป็นข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ จากคำกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในการเปิดงานมหกรรมนวัตกรรมการอ่าน (14-16 สิงหาคม 2552) ระบุว่า “การสำรวจเรื่องนิสัยรักการอ่านของคนไทยในปี 2551 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า คนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปอ่านหนังสือเฉลี่ยที่ 39 นาทีต่อวัน ขณะที่ผลสำรวจจากหน่วยงานอื่นๆ พบว่า คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 5 เล่มต่อปีเท่านั้น” อย่างไรก็ตาม ก็มิได้มีการระบุว่าเป็นการศึกษาของหน่วยงานใด

ส่วนตัวเลขการอ่านหนังสือจำนวน 2 เล่มต่อปี เป็นผลมาจากการวิเคราะห์การใช้จ่ายเงินในการซื้อหนังสือของคนไทย โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ซึ่งในปีล่าสุด (4 มีนาคม 2552) ระบุว่า “คาดว่าคนไทยใช้เวลาว่างอ่านหนังสือปีละ 2 เล่ม และใช้เงินซื้อหนังสือต่อคนต่อปีประมาณ 300 บาท” ซึ่งระบุที่จำนวนตัวเลข 2 เล่มติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว

ฐานในการคำนวณว่าคนไทยซื้อหนังสือ 2 เล่มต่อปี มาจากการใช้มูลค่ายอดจำหน่ายหนังสือในปีนั้น (18,900 ล้านบาทในปี 2551) มาหาค่าเฉลี่ยเป็นจำนวนเล่มโดยใช้ราคาเฉลี่ยหนังสือออกใหม่ที่เข้าสู่ระบบจัดจำหน่ายของร้านซีเอ็ดฯ (166.20 บาทต่อปก) จะได้จำนวนเล่มของหนังสือที่ขายได้ต่อปี (113,718,412 เล่ม) จากนั้นนำจำนวนเล่มที่ขายได้ทั้งหมดมาหาค่าเฉลี่ยต่อประชากร 1 คน (ปี 2551 มีประชากร 63,389,730 คน) จะได้จำนวนหนังสือที่ซื้อต่อปีต่อคน (1.79 เล่มต่อปีต่อคน)
นำจำนวนเล่มที่ซื้อต่อคนต่อปี (1.79 เล่ม) ไปคำนวณเป็นจำนวนเงินโดยย้อนกลับไปที่ราคาเฉลี่ยต่อเล่ม (166.20 บาท) ก็จะได้อัตราการใช้จ่ายในการซื้อหนังสือของคนไทยต่อคนต่อปี (297.50 บาท) เมื่อสรุปผลก็จะได้อัตราการใช้จ่ายเงินในการซื้อหนังสือประมาณ 300 บาทต่อคนต่อปี หรือจำนวน 2 เล่มต่อคนต่อปี


โดย พิรุณ อนวัชศิริวงศ์ : ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอ่าน (บางส่วนจากเอกสารประกอบการนำเสนอ “นโยบายส่งเสริมการอ่านภาคประชาชนระดับท้องถิ่น : หนังสือสามัญประจำบ้าน” งานมหกรรมสื่อสร้างสรรค์เพื่อเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 1 “พลังภาคี หนุนกองทุนสื่อดี เพิ่มพื้นที่สื่อสร้างสรรค์” 14 พฤศจิกายน 2552)

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เด็กเล็กกับหนังสือภาพ

เด็กเล็กกับหนังสือภาพ

เด็กเล็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากหนังสือภาพที่เป็นสีได้มากกว่าหนังสือภาพขาวดำ

การอ่านหนังสือภาพ (picture book) ให้เด็กน้อยฟังและให้ดูภาพไปด้วย ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านการอ่านของเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นการสอนให้เด็กได้รู้จักโลกรอบตัวของพวกเขาด้วย งานวิจัยด้านจิตวิทยาพัฒนาการที่ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมจิตวิทยาของสหรัฐ ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2006 ชี้ให้เห็นว่าการที่เด็กเล็กได้สัมผัสกับภาพสีที่คล้ายของจริงช่วยในการเรียนรู้ของเด็กได้

ดร. Gabrielle Simcock นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยควีนแลนด์ และ ดร. Judy DeLoache นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ได้ทดสอบว่า เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี สามารถเลียนแบบการเล่าเรื่องอย่างง่ายๆ จากภาพวาดที่คล้ายของจริงจากหนังสือภาพได้หรือไม่

การศึกษามี 2 ครั้ง โดยมีเด็กเข้าร่วมในโครงการทั้งหมด 132 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ 18 เดือน, 24 เดือน และ 30 เดือน เพื่อหาข้อสรุปว่า อายุมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กที่จะเล่าเรื่องอย่างง่ายๆ จากการอ่านหนังสือภาพอย่างไร

ในการศึกษาครั้งที่ 1 ได้แบ่งเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีทั้ง 3 กลุ่มอายุ ทั้งสองกลุ่มได้รับหนังสือภาพต่างชุดกัน แต่มีเรื่องราวและองค์ประกอบในภาพเหมือนกัน กลุ่มแรกได้หนังสือภาพที่เป็นภาพถ่ายสี 6 ภาพ และอีกกลุ่มหนึ่งได้หนังสือภาพที่เป็นภาพวาดสี วาดเลียนแบบภาพถ่ายทั้ง 6 ภาพ
หลังจากอ่านหนังสือให้เด็กฟังแล้ว ก็ขอให้เด็กๆ เลือกภาพใดภาพหนึ่งจากหนังสือขึ้นมาเล่า ผลการทดสอบพบว่า เด็กส่วนใหญ่สามารถพูดเล่าเรื่องเลียนแบบตามที่หนังสือบรรยายไว้ได้

ผู้วิจัยกล่าวว่า “การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า เด็กสามารถเรียนรู้ที่จะเล่าเรื่องเลียนแบบตามหนังสือที่มีขนาดสั้นๆ ได้ ซึ่งเป็นรูปแบบของการปฏิสัมพันธ์โดยทั่วไป และสามารถใช้หนังสือภาพเป็นแหล่งป้อนข้อมูลที่เกี่ยวกับโลกรอบๆ ตัวของเด็กๆ ได้”

ภาพที่ถ่ายจากวัตถุจริงกับภาพวาดคล้ายของจริงจากหนังสือเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลจูงใจเด็กให้สนใจได้มาก แต่เด็กอายุ18 เดือน จะมีปัญหาในการทำตามคำสั่งที่ผู้วิจัยต้องการ รวมทั้งไม่สามารถหาความแตกต่างระหว่างหนังสือภาพทั้งสองแบบได้ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเลือกกลุ่มใหม่ขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง โดยมีเฉพาะเด็กอายุ 24 เดือน และ 30 เดือน เพื่อทำการทดลองในครั้งที่ 2 ซึ่งเปลี่ยนมาศึกษาถึงการสนองตอบต่อหนังสือภาพขาวดำ (องค์ประกอบของภาพเหมือนการทดลองครั้งที่ 1 ทั้ง 6 ภาพ นอกจากเรื่องสี)

การทดสอบครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นว่าเด็กเล่าเรื่องจากภาพขาวดำได้ค่อนข้างด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กกลุ่มแรกที่เล่าเรื่องจากหนังสือที่เป็นภาพถ่ายและภาพสี

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ความสมบูรณ์ขององค์ประกอบของภาพที่เป็นสีมีส่วนช่วยในการพัฒนาการสำหรับเด็กอายุประมาณ 2 ปี ได้มากกว่าภาพขาวดำ “ภาพเสมือนจริงมีส่วนช่วยในการพัฒนาเด็กมากกว่าภาพที่มีลักษณะเป็นตัวแทนสัญลักษณ์” ผู้วิจัยกล่าวทิ้งท้าย

(จาก ScienceDaily : Nov. 6, 2006 แปลและเรียบเรียงโดย พิรุณ อนวัชศิริวงศ์ : ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมการอ่าน)


**********

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลองนึกภาพฉากนี้ดู

ลองนึกภาพฉากนี้ดู

กลุ่มนักเรียนชั้นประถมตอนปลายกลุ่มหนึ่งกำลังเรียนเกี่ยวกับเทพนิยายและนิทานพื้นบ้าน พวกเขารวมตัวกันเพื่อที่จะอ่านเรื่องที่ดัดแปลงมาจากนิทานเก่าๆ เรื่อง “หม้อวิเศษ เด้งดึ๋งได้” เด็กๆ ฝึกซ้อมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ และตอนนี้ก็พร้อมที่จะอ่านให้กับเพื่อนๆ ที่เหลือในชั้นเรียนฟังแล้ว
บ้างก็นั่ง บ้างก็ยืนอยู่หน้าชั้นเรียน โดยทั้งหมดหันหน้ามาทางผู้ชม ผู้บรรยายยืนอยู่หลังที่วางโน้ตดนตรีและเปิดแฟ้มสีที่วางอยู่บนนั้น แล้วก็เริ่มอ่าน
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อพวกหมูสามารถผิวปากและหม้อสามารถพูดได้ มีสามีภรรยาที่ยากจนอยู่คู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านอันทรุดโทรม ทั้งคู่เป็นเจ้าของหมูที่ผอมโซอยู่ตัวหนึ่ง”
สามีพูดกับคนดูด้วยท่าทางที่หิวโหยและสั่นเทา “ผมคือสามี” เขาพูด “และฉันเป็นภรรยา ภรรยาส่งเสียงตะโกนมา “อู๊ด!” ตามด้วยเสียงของหมู แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อ
ชายผู้หิวโหยกับภรรยาตัดสินใจจะขายหมูที่ผอมโซของพวกเขา จึงได้นำไปขายที่ตลาด “ไม่มีใครซื้อหมูที่ผอมโซอย่างนี้หรอก” เขาคร่ำครวญ แต่แล้วในที่สุดหมูก็ถูกขายให้กับคนแคระคนหนึ่งด้วยการแลกกับหม้อต้มซุปสีดำเก่าๆ ใบหนึ่ง คนแคระหวังว่าหมูตัวใหม่ของเขาจะเรียนรู้ที่จะผิวปากเพลง “ดวงดาววาววับจรัสแสง” ได้
ขณะที่การอ่านดำเนินต่อไป ผู้อ่านอ่านบทบรรยายหรือบทของตัวละครของพวกเขาได้อย่างคล่องแคล่ว พวกเขาอ่านด้วยความกระตือรือร้นจากบทที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา
กลับไปที่บ้านนั้นอีกครั้ง ภรรยาเตรียมที่จะต้มมันฝรั่งที่เหลืออยู่ชิ้นสุดท้ายของพวกเขาในหม้อสีดำเก่าๆ ใบนั้น แต่ทันทีที่เธอวางหม้อบนเตาไฟ หม้อก็เริ่มส่งเสียงแปลกๆ เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นๆ จนกระทั่งหม้อนั้นร้องตะโกนเสียงดังออกมา
“ข้าเป็นหม้อวิเศษเด้งดึ๋งได้
นี่เห็นข้าเป็นอะไร
ข้าต้องกระโดดฉับไว
ปล่อยข้าไป!”
ผู้อ่านทั้งหมดร่วมกันตะโกนด้วยเสียงอันดัง ปล่อยข้าไป! ปล่อยข้าไป! ปล่อยข้าไป! ถ้อยคำปล่อยข้าไปถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดทั้งเรื่อง ทั้งผู้อ่านและผู้ฟังเข้าร่วมกันในโอกาสนี้
เรื่องยังดำเนินต่อไป แล้วหม้อวิเศษเด้งดึ๋งได้ก็กระโดดเข้าไปในถ้ำของสัตว์ประหลาด กระเด้งเข้าไปในยุ้งข้าวของเจ้ายักษ์ และกระดอนเข้าไปในกระท่อมของแม่มด จากนั้นก็นำรางวัลมาให้แก่เจ้าของของมันด้วยหม้อที่จุไปด้วยขนม หม้ออีกใบเต็มไปด้วยเมล็ดข้าว และอีกใบหนึ่งก็เต็มไปด้วยเงินทอง แต่สัตว์ประหลาด เจ้ายักษ์ และแม่มดก็ยังคงไล่ล่าหม้อใบนี้ แล้วในที่สุดหม้อสีดำก็ “กระโดด กระเด้ง กระดอน” เข้าไปในหม้อใบใหญ่ที่ใช้สำหรับต้มซุปของแม่มด แม่มดกรีดร้อง
“เจ้าหม้อซุ่มซ่าม! ถึงเจ้าจะกระโดด กระเด้ง กระดอนไปได้ไกลถึงอลาสก้าพวกข้าก็ไม่สน! แค่หลบไปไกลๆ ให้พวกข้าได้ตักซุปนี้กินก็พอแล้ว!”
แต่แน่นอนว่าหม้อใบนี้ก็ยังคงกระโดดกระเด้งต่อไป มันกระโดดผ่านไปที่บ้านคนแคระ ที่ที่หมูกำลังผิวปากเพลง “ดวงดาววาววับจรัสแสง” อยู่ข้างถนน และจากนั้นมาก็ไม่มีใครเห็นหม้อวิเศษเด้งดึ๋งได้นั้นอีกเลย ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ พวกนักอ่านบอกเราว่า เพราะ
“อลาสก้านั้นอยู่แสนไกล
แม้จะเป็นหม้อวิเศษเด้งดึ๋งได้ ก็ไม่สามารถ กระโดด-กระเด้ง-กระดอน กลับมา!”

นักอ่านทุกคนยืนขึ้นและโค้งคำนับ ผู้ชมปรบมือ ทุกคนยิ้ม

***************
จากหนังสือ ละครสร้างนักอ่าน : Readers Theatre

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

หนังสือคือชีวิต

หนังสือคือชีวิต

มีเหตุผลมากมายในการเลือกอ่านหนังสือของคนแต่ละคน และหนึ่งในจำนวนนั้นคือเพื่อ “ความเพลิดเพลิน” คนอ่านหนังสือด้วยความเพลิดเพลินจะเป็นบ่อเกิดสร้างนิสัยรักการอ่านได้ดี

หนังสือแต่ละเล่มจะมีโลกของตัวมันเอง เป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนสร้างขึ้นมาทั้งจากจินตนาการและประสบการณ์ตรง การอ่านหนังสืออาจทำให้เราหลีกหนีไปไกลโพ้นสู่ดินแดนมหัศจรรย์อีกแห่ง แต่บางครั้ง เราก็อาจรู้สึกว่าความคิดเห็นของเราช่างพ้องพานกับเรื่องราวในหนังสือ ก่อเกิดแนวทางในการ “สะกดรอย” หรือ “แยกตนเองออกมา” จากสิ่งเหล่านั้นได้

หนังสือมอบสำนึกแห่งโลกที่เป็นส่วนตัวให้กับผู้อ่าน “การอ่านเหมือนกับการเข้าฌานที่อยู่ระหว่างการหลับและการตื่น ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยรู้สึกเหงาบ้างไหม... (เมื่อยามเด็ก) นานๆ ครั้งที่ผมจะมีโอกาสอยู่กับเด็กคนอื่นๆ ผมพบว่าการละเล่นและการพูดคุยของพวกเด็กเหล่านั้นช่างน่าสนใจน้อยกว่าการผจญภัยและบทสนทนาที่ผมอ่านจากหนังสือเสียนี่กระไร... หนังสือทำให้ผมมีบ้านถาวร เป็นบ้านที่ทำให้ผมอยู่ได้อย่างแท้จริงตามความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด...” (Alberto Manguel)

โลกของหนังสือมีอะไรมากมายให้ค้นหา การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านแต่วัยเยาว์จึงเป็นการเปิดบานประตูสู่โลกกว้าง โลกของนักอ่านจึงเป็นโลกแห่งการเรียนรู้ โลกแห่งการแสวงหา แม้ก้นบึ้งอารมณ์ความคิดของตนเองก็อาจพบได้จากหนังสือ

การอ่านหนังสือจึงเป็นกระบวนการสะสมความคิด การอ่านสิ่งใหม่ๆ แต่ละครั้งก็คือการต่อยอดของสิ่งที่เคยอ่านไปแล้วให้เพิ่มพูนขึ้น อุปมาเหมือนลำดับขั้นทางเรขาคณิตที่จะสะสมทวีคูณขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

**************

Readers Theatre คืออะไร

Readers Theatre คืออะไร

รีดเดอร์ส เธียเตอร์ (Readers Theatre : RT) เป็นรูปแบบของการแสดงละครแบบหนึ่งที่รวมผู้เข้าร่วมกิจกรรมให้เข้ามาอ่านหนังสือหรือบท (script) ด้วยการอ่านออกเสียง RT ไม่จำเป็นต้องมีฉากหรือเครื่องแต่งกาย ไม่ต้องใช้การแสดงเต็มรูปแบบ และไม่ต้องท่องจำบท ผู้อ่านเพียงแต่ใช้ความรู้สึก น้ำเสียงและอารมณ์ และนำเสนอตัวละครด้วยการใช้เสียง การแสดงสีหน้าและท่าทางง่ายๆ ตลอดช่วงที่ใช้ RT ผู้อ่านจะอยู่กลางเวทีและมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การอ่าน ผู้อ่านคือดารานักแสดง

RT นำองค์ประกอบของการละครเข้ามาในการอ่านและการเรียนรู้หนังสือ และเปลี่ยนสถานที่จัดกิจกรรมให้เป็นเวทีการแสดงที่น่าหลงใหล RT ต่างจากการละครโดยทั่วไป เพราะไม่ต้องจัดหาหรือจัดสร้างภาพของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบนเวที แต่เป็นการนำเสนอเรื่องราวอย่างง่ายๆ มากกว่าการแสดงออกมาจริง เหตุการณ์ต่างๆ นั้นไม่ใช่การแสดงออกมาให้เห็นจริงๆ แต่เป็นการทำให้เกิดภาพขึ้นในความนึกคิด RT เป็นละครแห่งการจินตนาการ เพราะผู้ชมจะร่วมจินตนาการกับนักแสดงในการสร้างเรื่องราวให้มีชีวิตขึ้นในโรงละครแห่งจินตนาการ

รีดเดอร์ส เธียเตอร์ (Readers Theatre) มีจุดมุ่งหมายต่างจากละครโดยทั่วไป ขณะที่ละคร (Theatre) มีเป้าหมายเพื่อให้ความบันเทิงและให้สาระกับผู้ชมโดยการจำลองภาพ “โลกสมมุติ” ให้เกิดความเชื่อถือมากที่สุด แต่รีดเดอร์ส เธียเตอร์สามารถให้ทั้งความบันเทิงและใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนให้เกิดความเข้าใจในวรรณกรรมได้ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากการอ่านเพียงอย่างเดียว

ความแตกต่างระหว่างการแสดง “ละคร” กับการแสดง “รีดเดอร์ส เธียเตอร์”

ละคร
1. เน้นที่การแสดง
2. นักแสดงจะมีจุดมองหลักๆ อยู่บนเวที คือมองหน้ากันระหว่างนักแสดง (on-stage focus)
3. นักแสดงจะต้องจำบท และต้องไม่ถือบทขณะแสดง
4. นักแสดงจะต้องแต่งหน้าและแต่ง ตัวเพื่อแสดงบุคลิกลักษณะของตัวละคร
5. คนดูกับนักแสดงจะแยกออกจากกัน และมักจะมีพื้นที่หรือเวทีให้รู้ว่าเป็นการแสดง
6. นักแสดงจะใช้การเคลื่อนไหวมากและเคลื่อนไหวไปบนพื้นที่เวที และใช้อุปกรณ์ประกอบฉากเป็นประโยชน์ในการแสดง

รีดเดอร์ส เธียเตอร์
1. เน้นที่เนื้อหาวรรณกรรม
2. นักแสดงจะสร้างจินตนาการให้กับคนดูเกี่ยวกับตัวละครที่ปรากฏในบท โดยมองไปนอกเวที ซึ่งมักจะมองไปที่ด้านหลังกลุ่มคนดู (off-stage focus) และมีผู้บรรยายร่วมแสดงด้วย
3. นักแสดงต้องมีบท (ถือ/วาง) ให้เห็นบนเวที ไม่จำเป็นต้องจำเพราะใช้การอ่าน แต่ต้องซ้อม
4. นักแสดงไม่จำเป็นต้องแต่งตัว แต่ใช้ความสามารถในการสร้างจินตนาการให้ผู้ฟังเห็นภาพ
5. คนดูจะใกล้ชิดกับนักแสดง และใช้พื้นที่ใดเป็นเวทีก็ได้ เพราะไม่จำเป็น ต้องมีอุปกรณ์/ฉาก
6. นักแสดงไม่เคลื่อนที่มากนัก แต่ใช้น้ำเสียง สายตา และท่าทางเพียงเล็กน้อยประกอบ

ข้อมูลจาก
ละครสร้างนักอ่าน : Readers Theatre
ศิลปะการละครเพื่อส่งเสริมการอ่าน
โดย
ถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์
พิรุณ อนวัชศิริวงศ์


******************

นักสื่อสารรักการอ่าน

นักสื่อสารรักการอ่าน

ผลการศึกษาการอ่านหนังสือในประเทศอังกฤษ (The Reading Agency and BML survey Book Reading and Library use, 2005) พบว่า ชาวอังกฤษอ่านหนังสือสัปดาห์ละ 4.6 ชั่วโมง หรือ 39 นาทีต่อวัน และอ่านเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากการอ่านของเพื่อนหรือผู้ใกล้ชิด
1 ใน 5 อ่านหนังสือเพราะมีผู้แนะนำ
1 ใน 6 จะแนะนำหนังสือให้กับผู้อื่นต่อ
1 ใน 7 จะพูดคุยถึงเรื่องหนังสือที่พวกเขาอ่าน
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าจำนวนผู้อ่านจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นักสื่อสารรักการอ่าน คือ ทุกคนที่แนะนำให้ผู้อื่นรักที่จะอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้เด็กเล็กๆ ฟังก็เป็นการแนะนำให้เด็กๆ รักที่จะอ่านหนังสือได้เช่นกัน ดังนั้น พ่อแม่ ครู พี่เลี้ยงเด็ก เจ้าหน้าที่ห้องสมุด หรือใครก็ตามย่อมเป็นนักสื่อสารรักการอ่านได้ทั้งสิ้น แต่นักสื่อสารรักการอ่านต้องมีเทคนิค คือ รู้จักหนังสือ รักการอ่านหนังสือ รู้วิธีสื่อสารสู่ผู้อ่าน และรักคนอ่านหนังสือ

รู้จักหนังสือ คือรู้จักแบ่งประเภทของหนังสือและคุณสมบัติของหนังสือที่ดี รู้จักเลือกประเภทของหนังสือที่จะนำมาสื่อสารให้เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็กๆ หรือกลุ่มเป้าหมายได้

รักการอ่านหนังสือ เพราะการที่จะแนะนำให้ผู้อื่นรักหรือชอบสิ่งใดย่อมเกิดจากสำนึกที่เรามีอยู่ เด็กๆ มักมีพฤติกรรมเลียนแบบ ผู้ที่รักการอ่านหนังสือนอกจากจะเป็นต้นแบบที่สำคัญให้กับเด็กๆ แล้วยังเป็นการเพิ่มพูนขยายฐานความรู้ความคิดของตนเองด้วย

รู้วิธีสื่อสารสู่ผู้อ่าน รู้บทบาทของตนเองและรู้ว่าควรใช้เทคนิควิธีใดจึงจะเหมาะสม ด้วยเหตุที่การสื่อสารรักการอ่านมิใช่กิจกรรมส่วนตัวที่ทำเพียงคนเดียว จึงต้องรู้วิธีการสื่อสารที่เหมาะสม เช่น พ่อแม่/พี่เลี้ยงเด็กอาจใช้วิธีเล่านิทาน-อ่านให้เด็กฟัง ครูอาจใช้การอ่าน-เล่าประกอบเสียงที่แสดงอารมณ์และท่าทาง หรือมอบหมายให้นักเรียนเป็นผู้อ่าน/ผู้เล่า อ่านแบบคนเดียวหรืออ่านหมู่ประกอบการแสดง เจ้าหน้าที่ห้องสมุดและนักจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน อาจใช้เทคนิคการละคร เทคนิครีดเดอร์ส เธียเตอร์มาช่วยส่งเสริมการอ่าน เป็นต้น

รักคนอ่านหนังสือ คือต้องรู้จักธรรมชาติของเด็กแต่ละวัย รู้จักวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย และพร้อมที่จะ “ให้” เพื่อพัฒนาการด้านการอ่านของเด็กๆ

“การอ่านเพื่อความเพลิดเพลินนั้น สำคัญที่สุดต่อผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กๆ มากกว่าฐานะทางเศรษฐกิจและสถานภาพทางสังคม” (Reading for change, OECD, 2002) ผลการวิจัยเรื่องการอ่านสรุปไว้เช่นนี้ และการใช้เวลาเพียงวันละ 20 นาทีร่วมกับเด็กๆ ในการอ่าน จะช่วยให้การอ่านของพวกเขาดีขึ้นได้
20 นาทีทุกวัน กับ 20 นาทีครั้งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์ จะมีผลแตกต่างกัน และเราย่อมรู้ถึงผลที่แตกต่างกันนี้ได้ดี


**************